ปฏิทินเศรษฐกิจสำหรับสัปดาห์ที่จะถึงนี้เต็มไปด้วยการเปิดเผยและเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อคู่เงิน EUR/USD ในขณะที่รายงานมหภาคอย่าง PMI และ IFO หน่วยชี้วัด ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ดัชนีราคาพื้นฐาน PCE และการประเมินการเติบโต GDP สุดท้ายของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อคู่เงิน EUR/USD อย่างมาก โดยปกติแล้ว แต่ครั้งนี้ผลกระทบอาจเบาบางลง นอกจากนี้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ Jerome Powell และเจ้าหน้าที่ของ Fed อื่นๆ ก็ยังมีกำหนดการปราศรัยในสัปดาห์นี้ด้วย
ถึงกระนั้น เหตุการณ์ทั้งหมดนี้อาจถูกบดบังด้วยเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่จะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์
ในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 22 มิถุนายน นายโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่าได้มีการโจมตีทางอากาศที่ไซต์นิวเคลียร์สามแห่งบนดินแดนอิหร่าน โดยตามคำกล่าวของเขา กองกำลังสหรัฐได้โจมตีสถานที่ใน Fordow, Natanz และ Isfahan
นี่ถือเป็นกรณีแรกที่มีการโจมตีทางทหารโดยตรงบนดินแดนอิหร่านแทนที่จะเป็นเป้าหมายโจกในอิรักหรือซีเรีย
เนื่องจากการโจมตีเกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าตลาดเงินตราจะมีความผันผวนอย่างมากในวันจันทร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสหรัฐโจมตีหลังจากที่ทรัมป์ได้กล่าวถึงสถานการณ์ในอิหร่านเมื่อวันศุกร์ โดยระบุว่าเขาต้องการเวลาสองสัปดาห์ในการตัดสินใจ เรื่องนี้ทำให้นายประธานาธิบดีสหรัฐดำเนินการขัดแย้งกับที่เขาพูดอีกครั้ง และทำให้ทฤษฎี "TACO" (ที่ว่า "Trump Always Caves Out") ไม่เป็นจริง
เมื่อพิจารณาจากการคุกคามของอิหร่านที่จะปิดช่องแคบฮอร์มุซ ตลาดจะรู้สึกได้ถึงผลกระทบจากการโจมตีของสหรัฐแน่นอน โดยเฉพาะตลาดน้ำมัน สภานิติบัญญัติอิหร่านได้โหวตให้ปิดช่องแคบแล้ว แม้ว่าการตัดสินใจสุดท้ายจะอยู่ในการพิจารณาของสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่านได้แถลงว่า "ไม่ยกเว้นการปิดช่องแคบนี้"
นอกจากนี้ สมาชิกของกองทัพกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน (IRGC) กล่าวว่า สหรัฐจะต้องประสบกับการตอบโต้ที่จะทำให้พวกเขาเสียใจต่อการโจมตีครั้งนี้ ขณะที่กรุงเตหะรานได้สาบานว่าจะโจมตีอิสราเอลต่อไป
ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นจะกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อ ช่องแคบฮอร์มุซครอบคลุมการส่งออกน้ำมันโลกถึง 20% (ประมาณ 15–17 ล้านบาร์เรลต่อวัน) ดังนั้นแม้จะมีความเสี่ยงเพียงเล็กน้อยในการปิดจะทำให้ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น ย้อนกลับไปในช่วงปี 2011–2012 ที่อิหร่านข่มขู่จะปิดช่องแคบระหว่างสถานการณ์มาตรการคว่ำบาตร ราคาน้ำมันเบรนท์พุ่งขึ้นประมาณ 15% ภายในไม่กี่สัปดาห์ ไม่มีความสงสัยเลยว่าการปิดจริงโดยเฉพาะในการขัดแย้งทางทหารจะทำให้เกิดปฏิกิริยาเข้มแข็งและรวดเร็วยิ่งขึ้น นักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันเบรนท์อาจขึ้นสูงแบบทะลุ 120–130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ผลอีกประการคือความรู้สึกกลัวความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ทรัพย์สินที่ปลอดภัยเช่นเงินเยนของญี่ปุ่น ฟรังก์สวิส และทองคำ จะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของดอลลาร์สหรัฐยังไม่แน่ชัด วิกฤตในตะวันออกกลางในอดีตได้เตือนนักลงทุนว่าดอลลาร์สหรัฐเป็นทรัพย์สินปลอดภัย แต่ว่าการผ่อนคลายใดๆ จะกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงและสนับสนุนผู้ซื้อ EUR/USD
แต่ก็ยังมีเงื่อนไขบางประการ ประการแรก ธรรมชาติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของสถานการณ์นี้ คือการที่สหรัฐโจมตีดินแดนอิหร่านโดยตรง นำไปสู่ความไม่แน่นอนสูงสุด ขอบเขตของสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นกว้างขึ้นกว่าเดิมมากซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อดอลลาร์
ประการที่สอง ตลาดน้ำมันมีแนวโน้มจะไม่นำค่าเงินดอลลาร์ หากราคาน้ำมันดิบอยู่เหนือ 80–85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพราะความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่คาดหวังและความขัดแย้งทางการค้าที่ยังคงดำเนินอยู่ ตลาดอาจจะกลับมาวิตกเกี่ยวกับสเต็กลฟเลชันที่อาจเกิดใหม่ในสหรัฐ นักวิเคราะห์บางคนได้เตือนถึง "สเต็กลฟเลชันที่เกิดจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์" คล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทศวรรษ 1970 แล้ว
ประการที่สาม ดอลลาร์อาจถูกกดดันจากพัฒนาการทางการเมืองภายในประเทศ ตามรายงานจาก Axios พบว่าขณะนี้มี Republcians ส่วนใหญ่ในรัฐสภาและสมาชิกพรรค Democrat ที่ให้การสนับสนุนอิสราเอลยกเว้น ทว่าการคัดค้านเริ่มปรากฏขึ้นในทั้งสองพรรค แหล่งข่าวจาก Axios ระบุว่าทรัมป์ต้องการการอนุมัติจากรัฐสภาสำหรับ "การใช้กำลังทหารในลักษณะยั่วยุ" หลายคนได้เตือนถึงการดำเนินการทางกฎหมายที่ร้ายแรงต่อประธานาธิบดีสหรัฐ รวมถึงการนำสู่การฟ้องร้อง ผู้แทนอเล็กซานเดรีย โอคาซิโอ-คอร์เทซเรียกการสั่งระเบิดอิหร่านของทรัมป์ว่า "เป็นเหตุข้อและชัดเจนสำหรับการฟ้องร้อง" วุฒิสภาได้ตอบสนองแล้ว เรียกร้องให้ทำเนียบขาวชี้แจงฐานกฎหมายสำหรับการโจมตีและวัตถุประสงค์ที่กว้างขวางยิ่งขึ้นในความขัดแย้งอิหร่าน-อิสราเอล
สรุปได้ว่าพัฒนาการล่าสุดนี้จะกระตุ้นให้เกิดความผันผวนสูงในตลาดแน่นอน รวมถึงในตลาดเงินตรา แต่ยังไม่แน่ชัดเลยว่าดอลลาร์จะได้รับประโยชน์หรือไม่ แม้ว่าจะมีความต้องการระยะสั้นในช่วงแรกก็ตาม
ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับการตอบรับของอิหร่านต่อการโจมตีทางอากาศของสหรัฐ ตามที่ The Economist ระบุว่า กรุงเตหะรานอาจเลือกที่จะตอบสนองในเชิงสัญลักษณ์เช่นเดียวกับที่ทำห้าปีที่แล้วหลังจากที่ทรัมป์สั่งให้สังหารนายพลกาเซม โซเลมานี ในกรณีนั้น สหรัฐอาจจะใช้กลยุทธ์ "การยกระดับเพื่อการลดระดับ" โดยจะกดดันให้อิสราเอลยุติสงคราม และเรียกร้องให้อิหร่านกลับไปเจรจาการทำความตกลงนิวเคลียร์ใหม่
แต่ก็ยังมีวิธีการที่เข้มมงมากขึ้น เช่น การปิดกั้นช่องแคบน้ำมันที่สำคัญ การโจมตีฐานทัพทหารของสหรัฐหรือพันธมิตรในตะวันออกกลาง การโจมตีด้วยขีปนาวุธที่เข้มข้นขึ้นในอิสราเอล และอื่นๆ การพัฒนาดังกล่าวอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่กว้างขวางและยาวนานขึ้น ซึ่งมีผลกระทบที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้
สำหรับขณะนี้ สิ่งหนึ่งที่แน่นอน: ความเสี่ยงในการเล่นเกมภูมิรัฐศาสตร์นี้มีค่าสูงมาก ซึ่งหมายความว่าการซื้อขายดอลลาร์คู่จะแสดงในสัปดาห์ใหม่ในเขตราคาที่ผันผวน และคู่ EUR/USD จะไม่เป็นข้อยกเว้น
